|
|
ซาวน์การ์ด (Sound Card)
- จากอดีตที่คอมพิวเตอร์ยังไม่สามารถ
"พูด" ได้ คำว่า "พูด"
นี้หมายถึงการที่คอมพิวเตอร์สามารถส่งเสียงออกมาได้
นอกจากเสียง "ปี้บ"
ปกติที่ออกมาจากลำโพงของพีซี
จนเมื่อมีผู้ที่คิดผลิตซาวน์การ์ดขึ้นมา
ก็เริ่มทำให้การใช้คอมพิวเตอร์มีสีสันขึ้นมา
โดยเฉพาะในวงการเกมที่จะต้องใช้ทั้งภาพที่ดูสมจริง
และเสียงที่เร้าใจ
เพื่อที่จะทำให้เกมนั้นมีความสนุกสนานขึ้นมากกว่าเก่า
- เมื่อมีผู้ที่บุกเบิกตลาดซาวน์การ์ดขึ้นมา
ก็เป็นธรรมดาที่จะมีผู้ที่ผลิตซาวน์การ์ดออกมาขายกันมากมาย
จากในอดีตที่ซาวน์การ์ดมีราคาสูงถึง
3-4 พันบาท
จนในปัจจุบันสามารถหาซื้อซาวน์การ์ดได้ในราคาประมาณ
1 พันบาท
- วงการเกมจะได้รับประโยชน์จากซาวน์การ์ดมากที่สุด
เพราะเกมต่าง ๆ
ที่ผลิตขึ้นมานั้น
ต่างก็ต้องการความตื่นเต้นสนุกสนาน
และสิ่งที่จะทำให้เกิดสิ่งนี้ขึ้นมาก็คือ
เสียง
เพราะแค่ลำพังภาพที่มีสีสันสวยงาม
จะเป็นสองมิติหรือสามมิติก็ได้
แต่ขาดเสียงประกอบ
ก็ออกจะขาดอรรถรสในการเล่นเกมไปไม่ใช่น้อย
- การ์ดเสียงในปัจจุบันมีอยู่ด้วยกัน
2 ชนิด คือ แบบ FM Synthesis และแบบ Wavetable Synthesis
- การ์ดเสียงแบบ
FM Synthesis
นั้นเป็นการ์ดเสียงเทคโนโลยีเก่าที่มักจะใช้ชิพ
OPL ของ YAMAHA ในการสร้างเสียง
ซึ่งการ์ดเสียงชนิดนี้จะใช้การสร้างเสียงจากการสังเคราะห์เสียง
หรือสร้างเสียงเลียนแบบเครื่องดนตรีชนิดต่างๆ
คุณภาพเสียงที่ได้อยู่ในชั้นดี
แต่ความสมจริงคงจะไม่มากนัก
ขึ้นอยู่กับการออกแบบของการ์ดเสียงแต่ละตัว
ในปัจจุบันการ์ดเสียงชนิดนี้ยังเป็นที่นิยมอยู่
เพราะมีราคาถูก ติดตั้งง่าย
เหมาะสำหรับใช้ในการเล่นเป็นครั้งคราวหรือใช้ในงานมัลติมีเดียทั่วๆ
ไป
- การ์ดเสียงแบบ
Wavetable Synthesis เป็นการ์ดเสียงรุ่นใหม่
ใช้เทคโนโลยี Wavetable คือ
จะเก็บตัวอย่างเสียงจริง ๆ
ของเครื่องดนตรี
หรือเสียงเอฟเฟ็คต่าง ๆ
ในแบบตารางเสียงลงในชิพ ROM (Read Only Memory
เป็นหน่วยความจำชนิดหนึ่งคล้าย
RAM แต่สามารถอ่านได้อย่างเดียว)
เพื่อรอการประมวลผล
ซึ่งต่างกับแบบ FAM Synthesis
ที่ใช้การสังเคราะห์เสียง
หรือการสร้างเสียงเลียนแบบคุณภาพเสียงที่ออกมาจึงสู้แบบ
Wavetable ไม่ได้ ขนาดของหน่วยความจำ ROM
ที่ใช้ในการเก็บตัวอย่างเสียงนั้น
จะมีผลกับคุณภาพของเสียง
และความเหมือนจริงของเสียงโดยตรง
เพราะยิ่งมีขนาดใหญ่เท่าไรตัวอย่างของเสียงที่เก็บก็จะมีมากเท่านั้น
การที่ตัวอย่างของเสียงที่เก็บไว้มีมากขึ้นก็หมายความว่า
มีตัวอย่างเสียงหลากหลายรูปแบบมากขึ้น
มีชนิดของเสียงหลายชนิดมากขึ้น
โอกาสที่การ์ดเสียงจะต้องสังเคราะห์เสียงขึ้นมาใหม่ก็มีน้อยลง
ความเหมือนจริงของเสียงก็จะมากขึ้น
เพราะเมื่อคอมพิวเตอร์สั่งให้การ์ดเสียงสร้างเสียงที่ไม่มีในตารางเสียง
การ์ดเสียงจะสังเคราะห์เสียงขึ้นมาใหม่
ความเหมือนจริงก็จะน้อยลง
- การใช้การ์ดเสียงสำหรับงานทั่วๆ
ไปรวมทั้งใช้ในการเล่นเกมบ้างเป็นครั้งคราวนั้น
ควรใช้การ์ดเสียงราคาถูกธรรมดาๆ
แบบFM Synthesis
ที่สนับสนุนมาตรฐานเสียง SoundBlaster
ก็เพียงพอแล้ว (สำหรับใช้งานร่วมกับซอฟต์แวร์
หรือเกมรุ่นเก่าๆ )
แต่ถ้าต้องการความสามารถในการเล่นไฟล์แบบ
MIDI, แต่งเพลง
หรือต้องการใช้ในการเล่นเกม
ให้มีความไพเราะและสมจริงมากขึ้น
ก็เพียงซื้อ Daughter Board ที่เป็น Wavetable
มาต่อเพิ่มเติมจะคุ้มค่ากว่า
- สำหรับผู้ใช้ระดับมืออาชีพ
เช่น นักแต่งเพลง
หรือผู้ที่ต้องการเสียงที่สมจริงที่สุดนั้น
การ์ดเสียงแบบ Wavetable Synthesis
จะเหมาะสมที่สุด
เพราะการ์ดเสียงชนิดนี้จะให้เสียงดนตรี
หรือเสียงจากเกมสมจริงที่สุด
หน่วยความจำ ROM
ที่มีในการ์ดเสียงแบบ Wavetable
นั้นถ้ามีขนาดใหญ่เท่าใด
ก็จะทำให้เสียงที่เล่นจากไฟล์ MIDI
หรือจากเกมมีความสมจริงมากขึ้นเท่านั้น
ROM ขนาด 512KB
ซึ่งภายในเป็นข้อมูลตัวอย่างเสียงที่มีการบีบอัดจาก
1MB
ก็เป็นขนาดที่น้อยที่สุดที่จะใช้ในการสร้างเสียงสมจริงแบบ
Wavetable
แต่ถ้าให้ดีที่สุดก็ควรที่จะมีอย่างต่ำ
2MB
คุณภาพของเสียงจึงจะสมบูรณ์ที่สุด
ซื้อซาวน์การ์ดแบบไหนดี
?
- ซาวน์การ์ดที่จะหาซื้อมาให้นั้น
ขึ้นอยู่กับการใช้งานของตนเองว่าจะซื้อซาวน์การ์ดไปใช้ทำอะไร
คำว่า 8 16 และ 32 บิต
ที่พูดกันนี้ไม่ใช่การเชื่อมต่อกับคอนเน็กเตอร์ของสล็อตที่เป็นแบบ
16 บิต ISA หรือ 32 บิต PCI
แต่เป็นหน่วยที่เรียกกันว่า
อัตราการสุ่มตัวอย่างหรืออัตราการแซมปลิ้ง
(Sampling Rate) ของเสียง
SAMPLING RATE
คืออะไร ?
- Sampling Rate
หรืออัตราการสุ่มตัวอย่างของเสียง
คือ
การสุ่มตัวอย่างหาความสูงของคลื่นเสียง
ณ เวลาหนึ่ง ๆ ที่กำหนดไว้
เหตุที่เราจะต้องสุ่มตัวอย่างหาก็เพราะว่า
เราก็ไม่สามารถที่จะหาความสูงของคลื่นเสียงได้ตลอดเวลา
เราจึงต้องสุ่มหาโดยใช้อัตราการในการสุ่ม
วัตถุประสงค์ในการสุ่มหาความสูงของคลื่นเสียง
ก็คือเพื่อแปลงสัญญาณเสียงจากอนาล็อกไปเป็นดิจิตัล
อย่างที่เราได้รับฟังทางลำโพงที่ต่อออกจากซาวน์การ์ด
- ปกติเมื่อเสียงๆ
หนึ่งมีอัตราการสุ่มตัวอย่างเสียงสูงขึ้น
ก็หมายความว่า
สามารถเล่นสัญญาณเสียงนั้นได้โดยมีคุณภาพดีขึ้น
เพราะสัญญาณเสียงที่ถูกสุ่มด้วยความถี่ที่มากกว่า
ก็จะมีรายละเอียดของเสียงมากขึ้นไปด้วย
ทำให้คุณภาพของเสียงดีขึ้นเพราะสามารถเก็บรายละเอียดของเสียงได้มากกว่านั่นเอง
- เสียงที่มีอัตราการสุ่มตัวอย่างสูง
จึงทำให้เสียงที่ได้มีคุณภาพดีขึ้น
แล้วตัวเลข 8 16 และ 32 บิต มาจากไหน?ตัวเลขเหล่านั้นก็คือจำนวนครั้งในการสุ่มนั่นเอง
ค่าตัวเลข 8 บิตนั้นก็คือ
จำนวนครั้งในการสุ่มตัวอย่าง 256
ครั้ง
และถ้าค่าตัวเลขนี้สูงขึ้นก็จะทำให้จำนวนครั้งในการสุ่มตัวอย่างสูงขึ้นไปด้วย
เช่น 16 บิตก็คือ การสุ่ม65,536 ครั้ง
และปัจจุบันก็มีซาวน์การ์ดบางรุ่นที่สามารถแซมปลิ้งเสียงได้มากถึง
32 และ 64 บิต
ซึ่งเป็นค่าที่สามารถให้ความละเอียดของเสียงได้มากก็จริง
แต่ราคาก็จะแพงตามไปด้วย
ดังนั้น
ถ้าไม่ได้ทำงานทางด้านการแต่งเพลงหรือดนตรีแล้ว
การซื้อซาวน์การ์ด 16
บิตมาใช้ก็น่าจะเพียงพอเหมาะสมดีอยู่แล้ว
- ในอดีตที่มีการผลิตซาวน์การ์ดออกมาใหม่
ๆ จะมีเพียงแค่ซาวน์การ์ด
ที่มีอัตราการแซมปลิ้งเพียงแค่ 8
บิตเท่านั้น
เพราะแค่ระดับการแซมปลิ้งเท่านั้น
ก็สามารถให้กำเนิดเสียงดนตรีอันน่าประทับใจได้แล้ว
แต่ในเมื่อความต้องการของมนุษย์ไม่มีวันสิ้นสุด
ซาวน์การ์ดที่มีอัตราการแซมปลิ้งสูง
ๆ ก็ได้มีการผลิตออกมา
เพื่อเอาใจนักเล่นเกมทั้งหลาย
สาเหตุที่บอกว่าผลิตออกมาเพื่อเอาใจนักเล่นเกม
ก็เพราะว่า
ตลาดเกมนั้นเป็นตลาดที่ได้รับประโยชน์จากการเกิดขึ้นมาของซาวน์การ์ดมากที่สุด
เพราะแอพพลิเคชันที่ใช้ประโยชน์จากซาวน์การ์ดมากที่สุดก็คือเกม
ตลาดเกมบนพีซีมีความเติบโตขึ้นมากจากการที่มีซาวน์การ์ด
อัตราการแซมปลิ้งที่อยู่ในซาวน์การ์ดรุ่นใหม่
ๆ ก็คือ 32 และ 64 บิต
แต่ดูจะเกินความจำเป็นสักนิดที่ผู้ใช้ธรรมดาจะซื้อมาใช้
เพราะมีราคาแพงไม่คุ้มค่าในการใช้งานอีกด้วย
ความเข้ากันได้ในการทำงาน
(Compatibility)
- การเลือกซื้อซาวน์การ์ดจะต้องพิจารณาในเรื่องของความเข้ากันได้ในการทำงานหรือความคอมแพททิเบิล
กันของซาวน์การ์ด คือ
ซาวน์การ์ดที่ผลิตออกมาในปัจจุบันจะมีมาจากบริษัทมากมายหลายบริษัท
ซึ่งต่างบริษัทก็จะผลิตซาวน์การ์ดของตนเองขึ้นมาบนพื้นฐานของเทคโนโลยีพื้นฐานที่เหมือนกันบ้างและต่างกันบ้าง
แต่มีซาวน์การ์ดที่สามารถทำงานร่วมกันกับซอฟต์แวร์ต่าง
ๆ ได้มากน้อยเพียงใด
- ผู้ผลิตซาวน์การืดที่ถือได้ว่าเคยเป็นเจ้าตลาด
ก็คือ Sound Blaster
ซึ่งมีผู้ที่นิยมใช้กันมากจนกลายเป็นมาตรฐานที่มีชื่อว่า
Sound Blaster Compatible
ซึ่งถ้าซาวน์การ์ดไหนที่มีความสามารถนี้
ก็เป็นซาวน์การ์ดที่สามารถนำมาใช้งานได้
แต่ถ้าซาวน์การ์ดไหนที่ไม่สนับสนุนก็จะหาซอฟต์แวร์เพื่อนำมาใช้งานได้ยากสักหน่อย
ก็เพราะซอฟต์แวร์ทุกตัวไม่สามารถที่จะทำงานร่วมกันกับซาวน์การ์ดที่ใช้ระบบต่างคนต่างผลิตได้ทุกตัว
จึงจะต้องหาจุดหรือมาตรฐานมาใช้เป็นบรรทัดฐานในการทำงาน
การติดตั้งซาวน์การ์ด
- ก่อนที่จะติดตั้งซาวน์การ์ดลงไปในพีซี
ก็จะขอแนะนำให้ทำแบ็กอัพไฟล์
Config.sys , Autoexec.bat , Win.ini , System.ini
และรีจิสทรีของวินโดวส์ 95 ก่อน
เพราะหลังจากที่ติดตั้งซาวน์การืดลงไปแล้ว
จะต้องติดตั้งซอฟต์แวร์ไดรเวอร์ของซาวน์การ์ดลงไปด้วย
ซึ่งจะเข้าไปแก้ไขข้อมูลบางอย่างในไฟล์เหล่านี้ด้วย
เผื่อเกิดเหตุการณ์ที่เมื่อติดตั้งไดรเวอร์ของซาวน์การ์ดลงไปแล้วเกิดไม่ทำงาน
ก็ยังสามารถก๊อปปี้ไฟล์เหล่านี้กลับมาแทน
เพื่อกลับไปสู่สถานะเดิมก่อนที่จะติดตั้งซาวน์การ์ดลงไป
และอีกสิ่งหนึ่งที่จะต้องทำก็คือ
สำรวจดูว่ายังมีเนื้อที่ในฮาร์ดดิสก์เหลือพออยู่หรือเปล่า
เพื่อใช้ในการติดตั้งไดร์เวอร์ของซาวน์การ์ดลงไป
- ปิดเครื่อง
ถอดปลั๊กออกและเปิดฝาเคส
- กราวนด์ตัวเองโดยเอามือไปแตะเคส
- สำรวจดูว่ามีสล็อตไหนบนเมนบอร์ดที่ยังว่างอยู่
และสามารถติดตั้งซาวน์การ์ดเข้าไปได้บ้างซึ่งซาวน์การ์ดส่วนใหญ่ต้องการสล็อตแบบ
16 บิตที่จะมีช่องต่ออยู่ 2 ช่อง
- หลังจากที่เลือกสล็อตได้แล้ว
ใช้ไขควงไขน็อตที่ติดอยู่กับแถบเหล็กด้านหลังออกไปก่อน
และเก็บรักษาน็อตเอาไว้ให้ดี
- นำเอาซาวน์การ์ดออกมาจากซอง
พลาสติกที่หุ้มเอาไว้
โดยจับที่ขอบของซาวน์การ์ดที่เป็นพลาสติกห้ามจับในส่วนที่เป็นทองแดงที่เป็นหน้าสัมผัสของการ์ด
- วางซาวน์การ์ดลงบนสล็อต
แล้วค่อย ๆ กดลงไปรอบ ๆ
จนคุณไม่สามารถมองเห็นแถบสีทองที่หน้าสัมผัสของการ์ดเสียบเข้าไปในสล็อตได้
- ใช้ไขควงไขน็อตที่ถอดออกมากลับเข้าไป
- ถ้ามีซีดีรอมติดตั้งอยู่ด้วย
และใช้สายสัญญาณที่ต่อเข้ามายังซาวน์การ์ดด้วย
ก็ให้ต่อสายสัญญาณนี้เข้ามายังคอนเน็กเตอร์
ที่อยู่ด้านข้างของซาวน์การ์ด
ซึ่งจะสังเกตได้อย่างง่ายๆ
เพราะจะเป็นคอนเน็กเตอร์ที่มีขนาดใหญ่ที่สุดบนการ์ด
- จากนั้นก็ต่อสายสัญญาณออดิโอ
(Audio Cable)
จากด้านหลังของไดรว์ซีดีรอมเข้าไปยังออดิโอคอนเน็กเตอร์บนซาวน์การ์ด
ปกติแล้วจะมีการเขียนกำกับไว้ที่คอนเน็กเตอร์ด้วยว่า
"CD-in"
- ต่อสายลำโพงเข้าไปที่ช่องต่อลำโพงด้านหลัง43.
ของซาวน์การ์ด
- เปิดเครื่องแล้วติดตั้งไดรเวอร์ของซาวน์การ์ดลงไป
เพื่อทดสอบว่าซาวน์การ์ดทำงานได้หรือไม่ก่อนที่จะปิดฝาเคส
เพราะถ้าไม่ทำงานก็สามารถถอดการ์ดออกมาแล้วเสียบเข้าไปใหม่ได้ในกรณีที่เสียบไม่แน่น
จากนั้นก็ติดตั้งซอฟต์แวร์ไดรเวอร์ของซาวน์การืดลงไป
โดยทำตามขั้นตอนการติดตั้งตามปกติ
ถ้าการ์ดไม่ทำงาน
ก็ลองถอดออกมาแล้วเสียบเข้าไปใหม่
ตรวจดูว่าสายลำโพงเสียบแล้วหรือยัง
เปิดเสียงลำโพงแล้วหรือยัง
ลำโพงทำงานปกติหรือไม่
- ถ้าการทำงานของซาวน์การ์ดเรียบร้อยแล้ว
ปิดฝาเคสและไขน็อตกลับไปให้เรียบร้อย
|
|