ข้อมูลการเลือกซื้ออิงค์เจตพรินเตอร์ที่
ได้นำมาเผยแพร่ในครั้งนี้
ส่วนหนึ่งมาจากประสบการณ์ของผู้เขียนเอง
และส่วนหนึ่งมาจากการสืบค้นข้อมูลจากหนังสือ
นิตยสาร และจากอินเ ตอร์เน็ต เราได้รวบรวมวิธีการเลือกซื้ออิงค์เจตพรินเตอร์ สิ่งที่ควรพิจารณาก่อนการเลือกซื้อ เพื่อให้ท่านไดอิงค์เจตพรินเตอร์ที่มีราคา และความเหมาะสม กับการใช้งานของท่าน |
|||
ในปัจจุบันนี้ ความนิยมในการใช้ inkjet printer เริ่มมีสูงมากขึ้นเรื่อยๆ ทั้งนี้เพราะความสามารถในการพิมพ์ที่มีความเหมือนต้นฉบับ และความรวดเร็วที่เพิ่มขึ้น อีกทั้งราคาที่มีแนวโน้วลดลงอยู่เรื่อยๆ ผู้จัดทำได้มีโอกาสใช้ inkjet printer เมื่อหลายปีที่แล้ว ซึ่งตอนนั้นใช้ของยี่ห้อ epson รุ่น stylus color 200 เป็นพรินเตอร์แบบ 3 สี แยกตลับสี กับตลับสีดำ ราคาตอนนั้นประมาณ 7 พันกว่าบาท ไม่ได้ไปซื้อที่ไหนไกลหรอกครับ ที่พันธทิพย์เจ้าเดิม จำได้ว่านั่งรอกันนานทีเดียวสำหรับการพิมพ์รูปเต็มหน้ากระดาษขนาด A4 ความละเอียดตอนนั้นก็ยังไม่สูงเท่าไหร่นัก และยังพิมพ์ได้ช้าอีกด้วย แต่ในปัจจุบันนี้ ผู้เขียนได้เปลี่ยนมาใช้รุ่น 740 แทน และประทับใจกับเทคโนโลยีใหม่ๆ มาก อีกทั้ง ยังสามารถพิมพ์ได้รวดเร็ว งานออกมาเกือบจะเหมือนต้นฉบับ และยังมีราคาที่ต่ำลงด้วย ซึ่งจะเห็นได้ว่าอิงค์เจ็ตพรินเตอร์มีการเปลี่ยนแปลงเป็นอย่างมาก ทั้งในด้านของความเร็ว ความละเอียดที่สูงขึ้น แม้จะใช้กระดาษธรรมดาก็ตาม และล่าสุดนี้สามารถเปลี่ยนตลับหมึกสี เฉพาะสีที่หมดได้อีกด้วย นับว่าช่วยให้ประหยัดค่าใช้จ่ายได้มาก ทั้งนี้หลายท่านอาจจะประสบกับปัญหาหัวหมึกอุดตันในบางยี่ห้อ ติดหัวพิมพ์ติดอยู่กับตัวพรินเตอร์ ซึ่งสาเหตุอาจจะมาจาก การใช้หมึกปลอม หมึกเติม หรือการใช้งานผิดวิธี ก็เป็นสาเหตุได้ทั้งนั้นครับ ในการเลือกซื้อ inkjet printer นั้นเราต้องคำนึงถึงคุณสมบัติต่างๆ ตามที่ผมจะได้ให้รายละเอียดไว้ทางด้านล่างนี้นะครับ |
|||
แบบการเชื่อมต่อที่ทุกท่านคุ้นเคย ก็เห็นจะเป็นแบบ Parallel port ซึ่งใช้กันมานมนานหลายปีแล้ว แต่ตอนนี้มีแบบ USB port เพิ่มขึ้นมาแล้ว หลายท่านคงเคยใช้อุปกรณ์ USB มาบางแล้ว ซึ่งข้อดีของมันก็คือ ความง่ายในการติดตั้ง และการส่งผ่านข้อมูลที่รวดเร็ว พรินเตอร์ตัวที่ผู้เขียนใช้อยู่สามารถใช้ได้ทั้ง parallel port และ USB จากการทดสอบนั้น ระยะเวลาการพิมพ์ไม่ต่างกันเลย แต่ความเร็วจะต่างกันที่ตอนเราสั่งพิมพ์เท่านั้นเองครับ คือไม่ต้องรอให้ส่งข้อมูลนาน ยิ่งภาพที่มีขนาดไฟล์ใหญ่ เมื่อลองใช้ USB จะเห็นความแตกต่างได้ชัดเจนเลยครับ ดังนั้นถ้าท่านเครื่องของท่านมี usb port อยู่แล้วหล่ะก้อ .. ลงหาพรินเตอร์ที่มี usb port มาใช้ก็ได้นะครับ แต่ถ้าไม่มี usb port ก็ไปซื้อมาใส่ได้ เป็นการ์ด pci ตัวเล็กครับ ราคาก็ไม่แพงเท่าไหร่ ผมเคยเห็นที่ชั้น 4 พันธทิพย์นี่แหละครับ ร้านที่เอาของมาโชว์เต็มหน้าร้านเลย นั่นแหละ อย่าลืมด้วยนะครับ ว่าท่านต้องใช้ Windows95osr2.1 หรือ Windows98 นะครับ ถึงจะใช้ usb ได้ | |||
ความละเอียดนั้นสำคัญมาก เพราะภาพจะมีความสวยงามหรือไม่ ก็ขึ้นอยู่กับความละเอียดนี่แหละครับ ยิ่งละเอียดมากยิ่งดี แต่ก็จะทำให้พิมพ์ได้ช้าไปด้วย ในการวัดความละเอียดของพรินเตอร์เขาเรียกเป็น dpi หรือว่า dot per inch ครับ แปลตรงๆ ตัว ก็หมายถึง ในพื้นที่ 1 ตารางนิ้ว มีจุดสีอยู่กี่จุดนั่นเอง ครับ ซึ่งความละเอียดของพรินเตอร์ในปัจจุบันจะอยู่ที่ 720x720dpi , 720x1440 dpi , 1200x1200dpi หรือสูงกว่านี้ ซึ่งมีให้เลือกันหลายรุ่นหลายแบบ หลายความละเอียดให้เลือกใช้กันครับ แนะนำให้เลือกใช้ที่มีความละเอียดสูงที่สุด ผลงานที่ออกมาจะมีความคมชัดและสวยงามมาก แต่ก็จะใช้เวลามากด้วย และยิ่งมีความละเอียดสูง ราคาก็จะสูงตามไปด้วย ท่านควรจะพิจารณาว่า งานที่ท่านใช้เป็นประจำเป็นงานประเภทไหน ถ้าเป็นพวกพิมพ์รายงาน มีภาพบ้าง ไม่มากนัก ก็เลือกที่ 720x720 dpi ก็เพียงพอแล้ว แต่ถ้างานของท่านเป็นพวกกราฟิก ภาพถ่าย สติกเกอร์ ก็คงต้องเลือกใช้ความละเอียดที่สูง เช่น 1440 dpi ครับ และยังต้องดูถึงเทคโนโลยีของเครื่องพิมพ์นั้นๆ ด้วย ว่าใช้เทคโนโลยีอะไร แล้วให้ความคมชัดมากแค่ไหน | |||
สีสันนั้นก็เป็นเรื่องที่ต้องพิจารณาด้วย ซึ่งอาจจะพิจารณาได้จากค่าเม็ดสีที่แสดงออกมา ซึ่งท่านสามารถดูได้จากร้านค้าทั่วไป ผมเคยเห็นที่พันธทิพย์ชั้น 5 IT city มีการพิมพ์แสดงคุณภาพที่ได้จากการพิมพ์ของยี่ห้อต่างๆ ไว้มากมาย ว่างๆ ไปหาดูกันได้ครับ เรื่องของสี ส่วนมาก inkjet printer จะใช้สีอยู่ 4 สี คือ CYMK ก็คือ ฟ้า , ม่วงแดง , เหลือง , ดำ เรียงตามลำดับนะครับ เมื่อเวลาเครื่องทำพิมพ์จะทำการผสมสีเหล่านั้นโดยอัตโนมัติ บางยี่ห้อยังให้ระบบหมึกแบบ 3 สี ซึ่งอาจจะทำให้ สีดำที่ทำการพิมพ์ออกมานั้นไม่ดำสนิท คือประมาณสีน้ำตาลเข้มๆ มองดูก็รู้เลยครับ เพราะเกิดจากการผสมสีจากสามสีคือ CYM นั่นเอง แต่พรินเตอร์รุ่นหลังๆ ที่ออกมา ส่วนมากจะทำเป็นแบบ 4 สี คือ เพิ่มสีดำ มาอีกหนึ่ง ซึ่งจะทำให้เอกสารที่ใช้สีดำ (ส่วนมากจะเป็นงานพิมพ์ต่างๆ) ออกมาดำสนิท คมชัดสวยงาม ถ้าจะให้แนะนำแล้ว ก็ให้เลือกแบบ 4 สีดีกว่าครับ ส่วนมากเขาจะทำเป็นหมึกสี 1 ตลับคือ CYM และมีหมึกดำอีก 1 ตลับ เวลาติดตั้งก็ใส่ได้ทั้ง 2 ตลับพร้อมกันเลย สะดวกดีครับ คุณภาพงานจะดีกว่า มีสันสันที่สวยกว่าครับ ในสมัยก่อนที่ผู้เขียนเคยใช้ ก็ต้องลำบากหน่อย เพราะใส่หมึกได้ทีละตลับ บางทีต้องการพิมพ์ตัวหนังสือสีดำ ก็เปลี่ยนเอาตลับหมึกดำมาใส่ แต่ถ้าต้องการพิมพ์ภาพพร้อมตัวหนังสือด้วย ก็ต้องใส่ตลับสีเข้าไป ยุ่งยากวุ่นวายน่าดูเลยครับ ปัจจุบันผู้ผลิตก็นำเทคโนโลยีใหม่ๆ มาใช้ ซึ่งทำให้สีที่ออกมามีความคมชัดมากขึ้น แห้งเร็วขึ้น และไม่มีการเลื่อมล้ำของสีให้เห็น อย่างเช่นเทคโนโลยี Photorealism ของ cannon ที่จะทำการพิมพ์ด้วยขนาดของหมึกที่เล็กและชิดกันมาก ทำให้เกิดการเรียงตัวของสี หรือจะเป็นเทคโนโลยีของ epson ที่หมึกสามารถแห้งได้รวดเร็ว ทำให้ได้ภาพที่คมชัด และสวยงาม ลองดูผลงานของแต่ละยี่ห้อก่อน ถ้าท่านชอบแบบไหนก็เลือกกันได้ครับ เพราะความเข้มของสี ของแต่ละยี่ห้อนั้นจะไม่เหมือนกันครับ | |||
แต่ละยี่ห้อจะมีความแตกต่างในการใช้เทคโนโลยีต่างๆ
เพื่อให้คุณภาพที่ออกมาดีที่สุด
เรามาดูกันว่าปัจจุบันมีเทคโนโลยีอะไรบ้าง
ในการเลือกใช้ ท่านควรจะพิจารณาจากคุณภาพของงานที่ออกมา ซึ่งจะมีความแตกต่างกันในด้านความเร็วด้วย บางยี่ห้อใช้เทคโนโลยีที่ดีกว่า แต่สามารถพิมพ์ได้ช้ากว่า หรือบางยี่ห้อมีความประหยัดมากกว่า แต่คุณภาพด้อยกว่า ขอให้ท่านพิจารณาถึงงานที่ใช้เป็นหลักครับ |
|||
Driver ของพรินเตอร์นั้น ก็จะคล้ายๆ กัน แต่อยากจะให้พิจาณาดูลูกเล่นที่มีมาให้ อย่างเช่น สามารถแสดงปริมาณน้ำหมึกให้เห็นผ่านทางหน้าจอได้หรือมั้ย การแจ้งสถานะของ printer การจัดการพรินเตอร์ต่างๆ เช่น การสั่งล้างหัวพิมพ์ การแก้ไขปัญหาต่างๆ ซึ่งปัจจุบัน driver ที่ใช้กันอยู่นี้ ก็มีความสามารถพวกนี้แทบจะทุกยี่ห้ออยู่แล้ว ซึ่งเมื่อท่านได้ซื้อ printer มาใช้งานแล้ว ลองเข้าไปดูที่ website ของแต่ล่ะยี่ห้อ มองหา driver รุ่นใหม่ๆ ลองดาวน์โหลดมาใช้งานดูนะครับ ซึ่งจะทำให้ printer ของท่านใช้งานได้ดียิ่งขึ้น เต็มประสิทธิภาพครับ | |||
option นั้นก็คือ การเพิ่มอุปกรณ์บางอย่าง เพื่อให้สแกนเนอร์สามารถทำงานได้หลากหลายมากขึ้น ก่อนซื้อควรจะพิจารณาถึงส่วนนี้ด้วย Printer บางยี่ห้อสามารถสแกนภาพได้ด้วย โดยการเปลี่ยนใส่หัวสแกนเข้ามา สามารถสแกนภาพได้ทันที ซึ่งก็ประหยัดเงินซื้อสแกนเนอร์ไปได้หลายตังค์เหมือนกันนะครับ | |||
ซอฟ์ตแวร์ส่วนมากที่แถมมาให้ ก็จะเป็นพวก Publisher ต่างๆ ใช้ออกแบบงานพิมพ์ต่างๆ และที่เห็นหลังๆ นี้ส่วนมากจะเป็นซอฟ์ตแวร์ทำสติกเกอร์ ผมเองก็ได้แถมมาเหมือนกัน ใช้งานง่าย รูปแบบน่ารัก และมีความหลากหลายเหมือนกัน ใช้ทำการ์ดอวยพรในโอกาสต่างๆ ทำซองจดหมาย และอื่นๆ อีกมากมาย ซึ่งส่วนใหญ่ซอฟต์แวร์เหล่านี้ท่านก็หาซื้อได้ทั่วไปอยู่แล้วครับ | |||
รูปร่างนี่ก็แล้วแต่ความชอบของแต่ละคนนะครับ ความยืดหยุ่นในการใช้งาน และน้ำหนักของตัวพรินเตอร์ ซึ่งบางยี่ห้อก็มีขนาดเล็ก บางยี่ห้อก็มีขนาดใหญ่ แต่ส่วนใหญ่ก็จะมีลักษณะคล้ายๆ กันครับ บางยี่ห้อใส่กระดาษจากด้านบน บางยี่ห้อวางกระดาษในช่องด้านล่าง มีที่ใส่สำหรับซองจดหมาย และที่ท่านต้องพิจารณาเป็นพิเศษก็คือ ปุ่มที่ปรับความหนาของกระดาษ ควรมีด้วยนะครับ เพราะแน่นอนว่ากระดาษที่ท่านใช้อาจจะต้องหนาเป็นพิเศษเมื่อท่านต้องการพิมพ์พวกการ์ดต่างๆ ครับ | |||
inkjetส่วนใหญ่จะมีความเงียบอยู่แล้วครับซึ่งก็จะไม่มีความแตกต่างกันในแต่ละยี่ห้อเท่าไหร่ซึ่งในเรื่องของเสียงก็คงจะไม่ใช่ปัจจัยสำคัญ ในการพิจารณาเท่าไหร่ครับ | |||
ตลับหมึกก็มีอยู่หลายชนิดครับ ปัจจุบันก็มีทั้งของแท้ ของเทียม และแบบเติม ทั้งนี้ผู้เขียนแนะนำให้ใช้ของแท้ดีที่สุดครับ เพื่อป้องกันความเสียหายของพรินเตอร์ครับ ส่วนตลับหมึกนั้นบางยี่ห้อก็มีหัวพิมพ์ติดมาด้วยเลย ข้อดีก็คือ ถ้าท่านเปลี่ยนตลับหมึก ก็เท่ากับเปลี่ยนหัวพิมพ์ด้วย ทำให้สบายใจเรื่องหัวหมึกอุดตัน อีกทั้งยังแอบเอาไปเติมได้ด้วย ผู้เขียนก็เคยใช้วิธีนี้เหมือนกันเป็นของยี่ห้อ HP ครับ แต่หมดแล้วต้องรีบเติมนะครับ ก็ใช้งานได้อีกไม่นานเท่าไหร่หรอก ครับและคุณภาพก็ด้อยกว่าอีกด้วย แต่ก็คุ้มค่าเหมือนกัน ส่วนบางยี่ห้อนั้นไม่มีหัวพิมพ์ติดอยู่กับตลับหมึก ซึ่งหัวพิมพ์จะอยู่บนแท่นพิมพ์ในตัวพรินเตอร์ ในกรณีนี้ท่านต้องระวังให้มากในการเลือกซื้อตลับหมึกด้วย เพราะมีของปลอมออกมาขายเหมือนกัน และท่านไม่ควรใช้วิธีการเติมหมึก เพราะจะทำให้หัวอุดตันได้ง่าย และไม่มีผลในการรับประกันด้วยครับ ไม่คุ้มนะครับ ที่ต้องจ่ายค่าซ่อม เกือบเท่าราคาซื้อใหม่ เรื่องของตลับหมึกอีกเรื่องก็คือ จำนวนสีในแต่ละตลับ ซึ่งในปัจจุบันจะเป็นแบบ 4 สี และแยกตลับสี และตลับดำ ไว้คนละตลับ ซึ่งจะทำให้ได้สีสันที่สวยมากขึ้น ซึ่งบางยี่ห้อก็แยกจำนวนสีไว้มากกว่านีน้ครับ บางยี่ห้อยังสามารถเปลี่ยนเฉพาะสีที่หมดได้อีกด้วย ไอเดียดีจริงๆ ครับ คาดว่ายี่ห้ออื่นๆ น่าจะทำแบบนี้บ้าง ราคาก็เป็นสิ่งที่สำคัญครับ แล้วอีกสิ่งหนึ่งที่จะมองข้ามไม่ได้ก็ เรื่องของชนิดของหมึกแนะนำให้ท่านเลือกใช้แบบหมึกแห้งเร็วครับ แล้วก็อย่าล้างหัวพิมพ์บ่อยเกินไปนะครับ เพราะนั่นจะทำให้ท่านสิ้นเปลืองหมึกของท่านไปด้วย ท่านควรจะเปรียบเทียบต้นทุนในการพิมพ์ในแต่ละหน้า อันนี้ผมไม่มีข้อมูลนะครับ ผมแนะนำให้ดูได้ที IT city ชั้น 5 ครับ ผมชอบไปเดินดู พรินเตอร์ที่นั่นบ่อยๆ พนักงานอัธยาศัยดีครับ ราคาของก็สูงกว่าร้านด้านนอก แต่มีการรับประกันที่แน่นอน ทดสอบของก่อนซื้อเสมอครับ | |||
การรับประกันก็ต้องสอบถามจากร้านค้านะครับ เพราะแต่ละยี่ห้อก็มีเงื่อนไขแตกต่างกันไป ซึ่งบางยี่ห้อที่มีปัญหาเรื่องหัวพิมพ์อุดตัน ก็ออกมารับประกันหัวพิมพ์ให้ตั้ง 3 ปีแหนะ ทั้งนี้ท่านควรสอบถามร้านค้าถึงบริการหลังการขายด้วย ค่าใช้จ่ายในการซ่อมแซม โดยเฉพาะหัวพิมพ์ จำนวนศูนย์บริการที่มีอยู่ และระยะเวลาในการซ่อมแซมแต่ละครั้ง ซึ่งโดยส่วนมากแล้ว ถ้าหัวพิมพ์ของท่านเกิดพังขึ้นมา ก็ต้องเตรียมค่าซ่อมไว้มากเกือบเท่าซื้อใหม่เลยทีเดียว และอย่าลืมเก็บใบรับประกันไว้ให้ดีด้วยนะครับ เพราะในใบรับประกันจะมีข้อมูลสำคัญ เกี่ยวกับพรินเตอร์ของท่าน รวมทั้งระยะเวลาที่เหลืออยู่ครับ แล้วอย่าลืมจดเบอร์โทรศัพท์ของฝ่ายบริการลูกค้าไว้ด้วยนะครับ เขาจะคอยตอบคำถามท่านในกรณีที่ท่านมีปัญหาครับ | |||
การใช้ inkjet นั้น ถ้าอยากได้คุณภาพงานที่ดี ต้องใช้กระดาษที่ดีด้วย ปัจจุบันมีให้เลือกหลายแบบครับ ทั้งแบบกระดาษสำหรับ inkjet โดยเฉพาะ กระดาษไว้สำหรับพิมพ์ภาพ หรือจะเป็นแบบ Glossy ซึ่งมีความมันวาว พิมพ์รูปได้สวยครับ แต่ก็มีราคาแพงตามคุณภาพอีกด้วย แบบสะท้อนแสงก็มี แบบเป็นกระดาษลอกลายบนผ้า เอาไว้รีดใส่บนเสื้อก็มีครับ ซึ่งปัจจุบันเทคโนโลยีใหม่ๆ สามารถให้พิมพ์ที่ความละเอียดสูงๆ ในกระดาษธรรมดาได้แล้ว แต่คุณภาพก็คงยังไม่เท่ากับกระดาษพิเศษอยู่ดี ทั้งนี้ท่านควรจะพิจารณาถึงต้นทุนของกระดาษด้วย | |||
ความเร็วนั้นมีผลโดยตรงกับความละเอียด ง่ายๆ ก็คือ ถ้าความละเอียดสูง ความเร็วก็จะต่ำ ถ้าความละเอียดต่ำ ความเร็วก็จะสูง ในพรินเตอร์ตัวเดียวกัน ซึ่งจะขึ้นอยู่กับหน่วยความจำในเครื่องด้วยหรือที่เรียกว่า buffer ซึ่งถ้ามีขนาด buffer มาก ก็จะทำให้พิมพ์ได้เร็วขึ้นอีกด้วย ซึ่งค่าต่างๆ ที่ทางผู้ผลิตได้แจ้งไว้ ก็อาจจะไม่ใช้ความจริงๆ ไปเสียทั้งหมด ซึ่งอาจจะเป็นค่าความเร็วสูงสุดที่ทำได้ ทั้งนี้อยากจะให้ท่านได้ทดลองจับเวลาดูก่อน เป็นดีที่สุด | |||
ก็คงจะเป็นในเรื่องของเทคโนโลยีที่ท่านขอบแหละครับ เพราะภาพที่ออกมาย่อมแตกต่างกันแน่นอน บางยี่ห้อเวลา print ไม่ให้เปิดฝาครอบขึ้น อันนี้ผมไม่ชอบเลยจริงๆ เพราะผมต้องการดูว่างานออกมาปกติหรือเปล่าจะได้ไม่เปลืองหมึก บางยี่ห้อก็เปิดฝาอ้าไว้ได้เลยตลอดเวลา อีกอย่างก็คือ การเชื่อมต่อ สามารถเชื่อมต่อได้หลายแบบหรือไม่ และ support การใช้งานแบบ network หรือเปล่า ความยากง่ายในการซื้อหาตลับหมึก เพราะบางยี่ห้อถ้าเก่าๆ มากแล้วหาซื้อตลับหมึกมาใช้งานยากมาก ครับ อีกเรื่องหนึ่งก็คือ manual หรือคู่มือนั่นเอง อย่าลืมเด็ดขาด เพราะในนั้นมีวิธีการใช้งานของเครื่องอย่างถูกต้อง การแก้ไขปัญหาต่างๆ ที่เกิดขึ้น ปริมาณกระดาษที่สามารถใส่ลงไปในช่องใส่กระดาษ หรือแม้กระทั่งความหนาของกระดาษสูงสุดที่เครื่องสามารถพิมพ์ได้ อย่าลืมตรวจเช็คก่อน เพราะถึงแม้ว่าท่านจะใช้พรินเตอร์เป็นประจำอยู่แล้ว แต่ถ้าเกิดปัญหาขึ้น คู่มือก็จะช่วยให้ท่านแก้ไขปัญหาได้ง่ายมากยิ่งขึ้นครับ ข้อมูลต่างๆ เหล่านี้ก็หวังว่าจะช่วยให้ท่านตัดสินใจในการเลือกซื้อ printer ได้ง่ายขึ้นนะครับ |