- เมื่อพูดถึงสื่อหรืออุปกรณ์ที่ใช้ในการเก็บข้อมูล
ก็คงจะหนีฮาร์ดดิสก์ไปไม่พ้น
เพราะฮาร์ดดิสก์คือแหล่งที่ใช้เก็บข้อมูลบนคอมพิวเตอร์ที่มีความสำคัญ
เพราะมันจะเก็บข้อมูลทั้งหมดตั้งแต่ระบบปฏิบัติการ
โปรแกรมใช้งานและข้อมูล
- ฮาร์ดดิสก์หรือมักจะมีชื่อเรียกอีกชื่อหนึ่งว่า
ฟิกซ์ดิสก์ (Fixdisk)
เพราะว่ามันจะเป็นดิสก์ที่ยึดติดไว้แน่นกับคอมพิวเตอร์นั่นเอง
(ต่างหากแผ่นดิสก์ที่สามารถเคลื่อนย้ายได้)
เป็นอุปกรณ์ที่ใช้ในการเก็บข้อมูลที่ได้รับการพัฒนามาเนิ่นนาน
และก็ยังได้รับการพัฒนาต่อไปอย่างไม่หยุดยั้ง
จากในอดีตที่ฮาร์ดดิสก์ความจุเพียงแค่
10 ถึง 20 เมกะไบต์
ที่มีขนาดรูปร่างที่ใหญ่โตเอาการประมาณ
5 นิ้ว
มาจนถึงฮาร์ดดิสก์ที่มีความจุเป็นกิกะไบต์
แต่รูปร่างกลับเล็กลงจนเหลือขนาดเพียงแค่
2.5 นิ้วเท่านั้น
และราคาก็ลดลงจนสามารถหาซื้อได้อย่างสบาย
แต่ก็จะเรียกว่าลดราคาก็คงจะไม่ถูกต้องนัก
เพราะแท้จริงแล้วราคาของฮาร์ดดิสก์นั้นแทบจะเรียกได้ว่า
ไม่ได้ลดลงอะไรมากมาย
เพียงแต่ได้ฮาร์ดดิสก์ที่มีความจุมากขึ้น
ในราคาที่คงเดิมเท่านั้นเอง
จึงทำให้มันดูเหมือนว่าราคาได้ลดลงมา
อินเทอร์เฟซของฮาร์ดดิสก์
- อินเทอร์เฟซคือส่วนเชื่อมต่อของฮาร์ดดิสก์ที่จะต่อเชื่อมเข้าไปยังคอมพิวเตอร์อินเทอร์เฟซของฮาร์ดดิสก์
มีอยู่หลายชนิด
แต่ชนิดที่นิยมใช้กันในปัจจุบัน
ก็คือ E-IDE (Enhance IDE) และ SCSI (อ่านว่า สะ-กัส-ซี)
ซึ่งข้อแตกต่างระหว่างอินเทอร์เฟซทั้งสองชนิดนี้คือ
SCSI
ความเร็วที่ไม่เหมือนใคร
- อินเทอร์เฟซแบบ
SCSI
นี้ได้รับการพัฒนาขึ้นมาจากเหตุที่ว่าเมื่ออุปกรณ์ต่อพ่วงสำหรับคอมพิวเตอร์เริ่ม
มีมากขึ้น
จึงทำให้มีการคิดค้นอินเทอร์เฟซแบบต่างๆ
ขึ้นมากมาย
ทำให้ใช้งานได้ยากและอาจจะใช้งานร่วมกันไม่ได้เลย
จึงได้เริ่มมีการคิดกันว่าน่าจะอินเทอร์เฟซที่เป็นมาตรฐานในการเชื่อมต่อสักชนิด
ที่นอกจากจะนำไปใช้กับฮาร์ดดิสก์แล้ว
ยังสามารถนำไปใช้กับอุปกรณ์อื่น
ๆ ได้อีกด้วย เช่น ซีดีรอมไดรว์
ออปติคอลดิสก์ สแกนเนอร์
หรือเทปไดรว์ต่าง ๆ เป็นต้น
- SCSI
ย่อมาจากคำว่า Small Computer System Interface
มีความเร็วในการถ่ายโอนข้อมูลสูงมาก
และในขณะเดียวกันก็มีราคาแพง
จึงไม่ค่อยจะมีการนำไปใช้ในเครื่องคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลกันสักเท่าไร
เพราะส่วนใหญ่จะนำไปใช้ในระดับเวิร์กสเตชั่นหรือเครื่องเซิฟร์เวอร์
และเครื่องคอมพิวเตอร์แบบแมคอินทอช
แต่รา-คาที่แพงนี้ก็สามารถให้ความเร็วในระดับที่น่าพอใจ
สามารถเชื่อมต่ออุปกรณ์ที่เป็น
SCSI ได้มากถึง 7 ตัว
โดยที่อุปกรณ์ตัวแรกจะเชื่อมต่อกับการ์ดคอนโทรลเลอร์ตัวหนึ่งที่เรียกว่า
การ์ดโฮสต์อะแดปเตอร์ (Host Aadapter)
ซึ่งจะเป็นการ์ดที่ควบคุมการส่งถ่ายข้อมูลของอุปกรณ์แต่ละตัวที่เชื่อมต่อกันอยู่
E-IDE พัฒนาการขั้นต่อมาของ IDE
- E-IDE
ได้รับการพัฒนาขึ้นมาจากพื้นฐานของ
IDE
ซึ่งจะปรับปรุงจุดด้อยและพัฒนาความสามารถของ
IDE ขึ้นมาในอีกระดับหนึ่ง
พัฒนาการสิ่งแรกที่เห็นได้อย่างชัดเจนก็คือ
เรื่องของความจุฮาร์ดดิสก์แบบ IDE
ไม่สามารถจะมีความจุได้เกิน 528
เมกะไบต์
แต่สำหรับฮาร์ดดิสก์แบบ E-IDE
สามารถเพิ่มความจุได้มากถึง 8 กิ-กะไบต์ต่อไดรว์
และสิ่งที่สองก็คือ
เรื่องของความเร็ว
ฮาร์ดดิสก์แบบ E-IDE
จะมีความเร็วในการถ่ายโอนข้อมูลที่
11.1 เมกะไบต์ต่อวินาที
ซึ่งถือว่าเป็นความเร็วที่สูงกว่า
IDE มาก
ทำให้มีผู้ที่นิยมนำไปใช้งานกันมาก
เพราะเป็นฮาร์ดดิสก์ที่มีประสิทธิภาพสูง
แต่ราคาต่ำ แต่อย่างไรก็ตาม
ฮาร์ดดิสก์ชนิดนี้ไม่ได้มีการนำไปใช้ในทุกตลาดหมายความว่า
ยังมีกลุ่มผู้ใช้กลุ่มหนึ่งที่ยังคงนิยมใช้ฮาร์ดดิสก์
SCSI กันอยู่
ด้วยเหตุผลในด้านความรวดเร็วและความน่าเชื่อถือกว่าในการทำงาน
ฮาร์ดดิสก์ที่ดี
ดูตรงไหน ?
- ถ้าต้องการจะซื้อฮาร์ดดิสก์ใหม่สักตัว
อาจจะมีคำถามว่าจะซื้อฮาร์ดดิสก์แบบไหนดี
ในการดูประสิทธิ-
ภาพของฮาร์ดดิสก์นั้น
เราจะมีค่าที่ใช้วัดประสิทธิภาพอยู่สองอย่าง
คือ เวาลาในการเข้าถึงข้อมูล (Access
time) และอัตราการถ่ายโอนข้อมูล (Data
transfer rate)
เวลาในการเข้าถึงข้อมูล
(Access time)
- ฮาร์ดดิสก์ที่ใช้เวลาในการเข้าถึงข้อมูลน้อยที่สุด
คือ
ฮาร์ดดิสก์ที่มีความเร็วในการอ่านข้อมูลมากที่สุด
หน่วยที่ใช้วัดเวลาในการเข้าถึงข้อมูลของฮาร์ดดิสก์คือมิลลิวินาที
(MilliSecond-ms)
ฮาร์ดดิสก์ที่ผลิตออกมาในรุ่นแรก
ๆ
จะใช้เวลาในการเข้าถึงข้อมูลสูงมาก
คือ อยู่ในระดับ 100 ms
เมื่อเทคโนโลยีของฮาร์ดดิสก์พัฒนาขึ้นเรื่อย
ๆ
เวลาที่ใช้ก็เริ่มลดน้อยลงไปจนปัจจุบันก็จะเหลือเพียงไม่เกิน
15 ms เท่านั้น
แต่ถ้าต้องการฮาร์ดดิสก์ที่มีความเร็วสูงจริง
ๆ
ก็ไม่นาจะดูฮาร์ดดิสก์ที่มีความเร็วต่ำกว่า
10 ms
แต่ค่าเฉลี่ยโดยทั่วไปก็จะอยู่ที่
12-13 ms
อัตราการถ่ายโอนข้อมูล
(Data transfer rate)
- อัตราการถ่ายโอนข้อมูล
ก็คือ
เวลาที่เมื่อฮาร์ดดิสก์พบข้อมูลที่ต้องการแล้วจะใช้เวลาเท่าไรในการส่งข้อ
มูลไปยังหน่วยความจำ
เราเรียกว่าอัตราการถ่ายโอนข้อมูล
เช่นเดียวกับเวลาในการเข้าถึงข้อมูล
คือ
อัตราที่เร็วกว่าก็จะทำให้ฮาร์ดดิสก์มีความเร็วในการทำงานสูง
ฮาร์ดดิสก์รุ่นเก่า ๆ
จะมีอัตราถ่ายโอนข้อมูลต่ำมาก
ซึ่งจะมีหน่วยเป็นเมกะไบต์ต่อวินาที
แต่อัตราการถ่ายโอนข้อมูลจริง ๆ
อาจจะไม่ถึงก็ได้
ในฮาร์ดดิสก์รุ่นใหม่จะมีการใส่หน่วยความจำแคช
(Cache)
มาช่วยเพิ่มความเร็วในการถ่ายโอนข้อมูล
หน่วยความจำแคชจะช่วยเสริมประสิทธิภาพในการอ่านข้อมูลจากดิสก์
หน่วยความจำแคชจะมีหน้าที่ในการรับเอาข้อมูลที่อ่านจากฮาร์ดดิสก์เพื่อส่งไปยังหน่วยความจำของเครื่อง
ซึ่งความเร็วที่เพิ่มขึ้นนี้ก็เพราะว่าการอ่านข้อมูลจากดิสก์
เพื่อส่งไปหน่วยความจำจะช้ากว่าการอ่านข้อมูลจากหน่วยความจำไปยังหน่วยความจำ
ซึ่งหน่วยความจำตัวแรกที่พูดถึงก็คือ
แคชนั่นเอง
และสาเหตุสำคัญที่ทำให้แคชช่วยเพิ่มความเร็วในการถ่ายโอนข้อมูลก็คือ
เมื่อดิสก์อ่านข้อมูลไปเก็บไว้ในแคช
แคชก็จะส่งข้อมูลนั้นไปให้กับหน่วยความจำ
และข้อมูลในแคชก็จะคงอยู่จนกระทั่งมีข้อมูลมาใหม่มาเขียนทับลงไป
แต่ตราบใดที่ข้อมูลนั้นยังอยู่ในแคช
หน่วยความจำของคอมพิวเตอร์ก็สามารถเรียกเอาข้อมูลนั้นจากแคชไปได้โดยที่ตรง
ไม่ต้องกลับไปเรียกข้อมูลจากฮาร์ดดิสก์อีก
ซึ่งจะช่วยลดเวลาในการค้นหาข้อมูลได้
แบ่งพาร์ทิชันดีหรือไม่
?
- การแบ่งพาร์ทิชัน
(Partition) ก็คือ
การแบ่งส่วนของฮาร์ดดิสก์ออกเป็นส่วน
ๆ เพื่อใช้ในการทำงานของ
คอมพิวเตอร์ ซึ่งพาร์ทิชันก็คือ
ส่วนของการทำงานบนฮาร์ดดิสก์นั่นเอง
สามารถแบ่งพาร์ติชันของฮาร์ดดิสก์ออกเป็นหลายๆ
พาร์ทิชันได้
ก่อนที่จะใช้งานฮาร์ดดิสก์ได้จะต้องทำการแบ่งพาร์ทิชันเสียก่อน
ถึงแม้ว่าจะใช้เพียงแค่พาร์ทิชันเดียวก็ตาม
เพราะเพียงแค่พาร์ทิชันเดียวก็ถือว่าได้แบ่งแล้ว
สำหรับโปรแกรมที่ใช้สำหรับแบ่งพาร์ทิชันก็คือ
FDISK
ซึ่งมีมาให้พร้อมกับดอสอยู่แล้ว
แบ่งพาร์ทิชันแล้วดีอย่างไร?
- ข้อดีในการแบ่งพาร์ทิชันที่เห็นได้ชัดเจนก็คือ
เมื่อเกิดเหตุการณ์ที่ไม่คาดฝันขึ้นกับฮาร์ดดิสก์ที่ใช้อยู่
แต่เกิดขึ้นเพราะปัญหาทางด้านระบบไฟล์
(File System) หรือโครงสร้างไฟล์ (File Structure)
ก็ตามเมื่อฮาร์ดดิสก์ออกเป็น 2
พาร์ทิชันแล้วเกิดความเสียหายที่พาร์ทิชันไหน
ความเสียหายนั้นก็จะเกิดเฉพาะพาร์ทิชันนั้นเท่านั้น
ไม่ได้ลุกลามไปยังพาร์ทิชันอื่นด้วย
ดังนั้น
ข้อมูลที่มีอยู่ก็จะสูญหายแค่พาร์ทิชันเดียว
แต่ถ้าสร้างพาร์ทิชันไว้เพียงพาร์ทิชันเดียว
เมื่อเกิดเหตุดังกล่าวข้อมูลจะสูญเสียทั้งหมด
ข้อดีอีกอย่างที่หลายคนอาจจะไม่ค่อยสังเกตเห็นนัก
ซึ่งก็คือ
ถ้าแบ่งฮาร์ดดิสก์ออกเป็นพาร์ทิชันย่อย
ๆ แล้ว
จะมีเนื้อที่เพื่อจัดเก็บไฟล์เพิ่มมากขึ้น
เพราะพาร์ทิชันที่มีขนาดใหญ่นั้นจะใช้เนื้อที่ในการเก็บข้อมูลมากกว่าพาร์ทิชันที่มีขนาดเล็กกว่า
ในการจัดเก็บไฟล์บนฮาร์ดดิสก์นั้น
ระบบปฏิบัติการจะจัดเก็บไฟล์บนตารางโครงสร้างไฟล์
หรือเรียกว่า FAT (File Allocation Table)
ซึ่งจะใช้หลักการในการจัดการโครงสร้างของไฟล์
คือ
จะมีการกำหนดพื้นที่ให้กับไฟล์ด้วยหน่วยที่เรียกว่าคลัสเตอร์
(Cluster) ซึ่งคลัสเตร์หนึ่งก็คือ
พื้นที่บนฮาร์ดดิสก์ที่จะมีขนาดตั้งแต่
2 ถึง 64 กิโลไบต์
ขึ้นอยู่กับขนาดของพาร์ทิชันที่จัดเอาไว้
คือ ถ้าพาร์ทิชันมีขนาดใหญ่
ขนาดของคลัสเตอร์ก็จะมีขนาดใหญ่ตามไปด้วย
แต่ถ้าพาร์ทิชันมีขนาดเล็กคลัสเตอร์ก็จะมีขนาดเล็ก
คอมพิวเตอร์ที่ใช้ระบบปฏิบัติการดอสหรือวินโดวส์นั้นจะใช้พื้นที่ในการจัดเก็บไฟล์หนึ่งไฟล์ต่อหนึ่งคลัสเตอร์
หมายความว่าหนึ่งคลัสเตอร์สามารถเขียนข้อมูลลงไปได้เพียงไฟล์เดียวเท่านั้น
ขนาดของคลัสเตอร์จะถูกกำหนดขึ้นมาโดยขนาดของพาร์ทิชัน
สมมุติว่า จัดเก็บไฟล์ที่มีขนาด
600 ไบต์ บนพาร์ทิชันขนาด 500
เมกะไบต์ ซึ่งจะมีขนาดคลัสเตอร์ 8
กิโลไบต์ หรือ 8192 ไบต์
แต่จัดเก็บไฟล์ที่มีขนาดเพียง 600
ไบต์เท่านั้น
จึงเสียพื้นที่ไปโดยเปล่าประโยชน์ถึง
7592 ไบต์ (เพราะหนึ่งคลัสเตอร์จะเก็บไฟล์ได้เพียงไฟล์เดียวเท่านั้น
ไม่สามารถให้ไฟล์อื่นมาใช้พื้นที่ในคลัสเตอร์เดียวกัน)
ถ้าใช้ฮาร์ดดิสก์ที่ใช้พาร์ทิชันขนาด
1 หรือ 2 กิกะไบต์
ซึ่งใช้คลัสเตอร์ขนาด 64 กิโลไบต์
จะสูญเสียพื้นที่ไปมากขนาดไหน
โดยฮาร์ดดิสก์ขนาด 2 กิกะไบต์
อาจจะใช้เก็บข้อมูลจริงได้เพียง
1.3 กิกะไบต์ เท่านั้นก็เต็มแล้ว
แต่ถ้าแบ่งพาร์ทิชันออกเป็นพาร์ทิชันย่อย
ๆ
เพื่อลดขนาดของคลัสเตอร์ลงก็น่าจะเป็นการใช้ประโยชน์จากฮาร์ดดิสก์ได้อย่างเต็มประสิทธิภาพและคุ้มค่า
การดูแลรักษาฮาร์ดดิสก์ด้วยวิธีง่ายๆ
- วิธีดูแลรักษาฮาร์ดดิสก์ง่ายๆ
คือ
ใช้โปรแกรมที่มีหน้าที่ในการตรวจสอบฮาร์ดดิสก์
เช่น Scandisk หรือ Norton disk doctor
เพื่อตรวจหาข้อผิดพลาดที่อาจจะเกิดขึ้นบนฮาร์ดดิสก์ซึ่งถ้าไม่รีบหาข้อผิดพลาดและปล่อยให้ปัญหาลุกลามไปอาจทำให้ข้อมูลในฮาร์ดดิสก์สูญหายไปหมด
- อีกสิ่งหนึ่งที่จะช่วยให้ฮาร์ดดิสก์มีการทำงานด้วยความเร็วสม่ำเสมอ
คือ การทำ Optimize disk
โดยใช้โปรแกรมที่ใช้ในการจัดเรียงข้อมูลบนฮาร์ดดิสก์
เช่น Defrag หรือ Speedisk
ซึ่งสาเหตุที่จะต้องมีการทำก็เพื่อให้ข้อมูลในฮาร์ดดิสก์เรียงตัวกันเป็นระเบียบ
เพื่อความรวดเร็วในการอ่านข้อมูล
- การเข้าถึงข้อมูลในฮาร์ดดิสก์เป็นการเข้าถึงแบบแรนดอมหรือเป็นแบบสุ่ม
ไม่ได้เป็นการเข้าถึงข้อมูลแบบซีเควนซ์
(Sequence) หรือแบบเรียงลำดับ
เหมือนอย่างเทปแบ็กอัพ
ดังนั้นในการเขียนข้อมูลฮาร์ดดิสก์ก็จะมองหาว่า
พื้นที่ใดที่เป็นพื้นที่ว่างที่พอจะเขียนข้อมูลลงไปได้
เมื่อใช้งานไปนาน ๆ
ก็จะทำให้เกิดพื้นที่ว่างที่ไม่ต่อเนื่องกัน
เพราะว่าจะมีข้อมูลบางส่วนที่ลบหรือย้ายไปในโฟลเดอร์หรือไดเรคทอรีอื่น
เมื่อฮาร์ดดิสก์เขียนข้อมูลตัวเดียวกันลงไปในพื้นที่ว่างที่ไม่ต่อเนื่องกัน
ทำให้การอ่านข้อมูลของฮาร์ดดิสก์ช้าลง
เพราะจะต้องไปเสียเวลาหาข้อมูลจากหลายๆ
ตำแหน่งบนฮาร์ดดิสก์
แทนที่จะหาได้จากตำแหน่งที่อยู่ติดกัน
ส่งผลให้ความเร็วในการค้นหาข้อมูลลดลง
และถ้าจะต้องค้นหาไฟล์ที่มีขนาดใหญ่จากหลายๆ
ตำแหน่งบนฮาร์ดดิสก์ก็คงจะต้องใช้เวลามากพอสมควร
ดังนั้น
ในการจัดเรียงข้อมูลนั้นก็เพื่อให้ข้อมูลได้มีการเรียงลำดับกันอย่างถูกต้องและเป็นระเบียบ
ง่ายต่อการค้นหาข้อมูล
ความเร็วในการหมุนแผ่นจานแม่เหล็ก
- ความเร็วในการหมุนแผ่นจานแม่เหล็กของฮาร์ดดิสก์นั้น
จะมีผลโดยตรงกับประสิทธิภาพโดยรวมของ
ฮาร์ดดิสก์มีความเร็วในการหมุนแผ่นจานแม่เหล็กสูง
จะทำให้ความเร็วในการเข้าถึงข้อมูล,
ความเร็วในการเลื่อนหัวอ่านไปยังแทรคของข้อมูลตำแหน่งต่าง
ๆ บนฮาร์ดดิสก์
และความเร็วในการส่งผ่านข้อมูลมากขึ้น
ซึ่งมาตร-
ฐานความเร็วในการหมุนแผ่นจานแม่เหล็กสำหรับฮาร์ดดิสก์แบบ
E-IDE ในปัจจุบันอยู่ที่ 4,500 รอบ/วินาที
ซึ่งไม่ควรต่ำกว่านี้
เพราะจะทำให้ฮาร์ดดิสก์ทำงานช้าเกินไป
ในฮาร์ดดิสก์ที่ใช้อินเตอร์เฟสแบบ
Ultra DMA/33 นั้น
ส่วนใหญ่แล้วจะมีความเร็วในการหมุนแผ่นจานแม่เหล็กเกิน
4,500 รอบ/วินาทีอยู่แล้ว
แต่จะให้ดีควรอยู่ในระดับ 5,400
รอบต่อวินาที
หรือสูงกว่าจะดีกว่าและเร็วกว่าสำหรับฮาร์ดดิสก์ที่ใช้อินเตอร์เฟสแบบ
SCSI นั้น
ควรจะมีความเร็วในการหมุนแผ่นจานแม่เหล็กไม่ต่ำกว่า
7,500 รอบ/วินาที
ซึ่งก็จะช่วยทำให้ความเร็วในการทำงานของฮาร์ดดิสก์มีประสิทธิภาพสูงตามที่ควรจะเป็น
?
?